- 28 กรกฎาคม 2025
- ประกันภัยรถยนต์
- 104 Views
ช่วงนี้โซเชียลระอุ เมื่อมีประกันสุขภาพรายหนึ่งยื่นข้อเสนอให้ลูกค้าปรับเบี้ยขึ้น 1.5–2.5 เท่า พร้อมบังคับเลือกรูปแบบ Co‑Payment 20% ทุกโรค ทุกบิล ภายใน 30 วัน หากไม่ยอมรับก็ดีเลย์การต่อสัญญาไปเลย ลูกค้าบางรายป่วยเป็นโรคร้าย จึงไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากไม่รับเงื่อนไขใหม่ก็จะ “หมดภาระบริษัท” และย้ายค่ายไม่ได้ ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า…ยุติธรรมจริงหรือ?
สารบัญ
ทำไมบ.ประกันไม่สามารถยกเลิกสัญญาลูกค้าเดิม?
กฎหมาย คปภ. (OIC) ห้ามยกเลิกสัญญาล่วงหน้า
ตามประกาศ คปภ. บริษัทประกันชีวิต/สุขภาพไม่สามารถยกเลิกสัญญาก่อนครบอายุสัญญาได้ ยกเว้นกรณีทุจริตหรือให้ข้อมูลเท็จชัดเจนเท่านั้น
Co‑Payment ไม่ใช่เหตุยกเลิกสัญญา
การปรับเบี้ยหรือเพิ่มเงื่อนไขร่วมจ่าย เป็นเรื่องต่ออายุ (renewal) ไม่ใช่ “ยกเลิก” สัญญาเดิม
สิทธิผู้เอาประกัน
หากพบว่าบริษัทใช้เงื่อนไขที่ขัดกฎหมาย สามารถร้องเรียนต่อ คปภ. เพื่อให้ตรวจสอบได้ทันที
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ Co‑Payment
หลักการของ Co‑Payment คือการให้ ผู้เอาประกันร่วมจ่ายค่ารักษาบางส่วน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายรวม (moral hazard) โดยเฉพาะผู้ที่เคลมบ่อยในโรคไม่ร้ายแรง ระบบใหม่ที่กำลังเป็นดราม่า กำหนดเงื่อนไขดังนี้
Co-Payment ใครเป็นผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก (บางส่วน) คือผู้ที่มีการเคลมบ่อยหรือรักษาโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เคยเคลมเกิน 3 ครั้ง หรือเคลมเกิน 200–400% ของเบี้ยประกันต่อปี นั่นจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่เปิดช่องให้บริษัทปรับเบี้ย หรือไม่ต่อสัญญาในปีถัดไป
แนวทางรับมือ ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ:
ตรวจสอบกรมธรรม์ ทุกฉบับก่อนต่ออายุ ว่ามีเงื่อนไข Co‑Payment หรือไม่
เปรียบเทียบแผนประกัน เจ้าอื่นที่ “รับประกันต่อเนื่อง” ไม่มี Co‑Payment หรือเพดานนานถึงอายุ 85–99 ปี
- ใช้สิทธิ์เคลมอย่างมีสติ เคลมเมื่อจำเป็นจริง ๆ ลดโอกาสเข้าเงื่อนไข
- เตรียมเงินสำรอง เผื่อรับภาระร่วมจ่ายหรือเบี้ยที่อาจเพิ่ม
- ร้องเรียนต่อ คปภ. หากเจอเงื่อนไขไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกรมธรรม์เดิม
ปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากตัวแทนมืออาชีพ
หากคุณกำลังเจอปัญหาการต่อสัญญา หรือสงสัยเรื่อง Co‑Payment ปรึกษาตัวแทนที่เชื่อถือได้ เปรียบเทียบแผนอื่น ๆ หรือติดต่อ คปภ. เพื่อคุ้มครองสิทธิของคุณนะคะ






อ้างอิง : เงื่อนไขการต่ออายุครั้งนี้ บริษัทประกาศร่วมจ่ายไม่เกิน 30% เป็นเงื่อนไขที่เกิดก่อน NHS ปี 2564 และไม่อ้างอิงเงื่อนไข Copay ของ 20 มี.ค. 2568 แต่อย่างใด


ปมดราม่าระอุ โซเชียล
จากข่าว…..
บ.ประกัน ไม่สามารถยกเลิกสัญญา ลูกค้าเดิมได้
ดราม่าประกัน เมื่อ Co-Payment กลับกลายเป็นดาบคม ทิ่มแทงผู้ซื้อประกัน ?
จากประเด็นดราม่าที่ทำโซเชียลระอุกันในเวลานี้ กับประกันสุขภาพเจ้าหนึ่งที่มีการยื่นข้อเสนอขอปรับเบี้ยประกันเป็น 1.5 – 2.5 เท่า และมีผู้ประกันตนบางรายโดนบังคับให้เลือก Copayment 20% ทุกโรคทุกบิล โดยให้ระยะเวลา 30 วัน ถ้าไม่กดยอมรับก็จะหมดภาระบริษัท
บางคนเป็นโรคร้ายก็ไม่สามารถทำประกันที่ไหนได้ และบางผู้ประกันตนซื้อประกันมาร่วมระยะเวลา 10 ปี แต่มาป่วยในช่วงปี 2 ปีหลัง และไม่ได้มีการป่วยหนัก บางคนก็แทบไม่เคยเคลม จึงทำให้สังคมออกมาตั้งคำถามกันว่า ยุติธรรมแล้วจริงมั้ย บ้างก็ว่าแบบนี้ทิ้งคนป่วย รวมถึงทิ้งคนแก่ไว้ข้างทางรึเปล่า ? ไขข้อข้องใจไปกับบทความนี้กันค่ะ
จากกระแสโซเชียล เรียกร้องให้เราตั้งคำถามถึงระบบคุ้มครองสุขภาพของประเทศไทย อันดับแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่า วัตถุประสงค์ของระบบ Co-Payment ที่แท้จริง คืออะไร ?
Co-Payment หรือการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วนโดยผู้เอาประกันกลายเป็นแนวทางที่บริษัทประกันสุขภาพนำมาใช้ แนวคิดของ “Co-Payment” เกิดขึ้นเพื่อควบคุมภาระค่าใช้จ่ายในพอร์ตประกันสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเคลมบ่อยครั้งในกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือโรคทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก เพราะแม้จะเป็นโรคไม่ร้ายแรง แต่หากมีการเคลมบ่อยครั้งก็ทำให้ต้นทุนของระบบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระบบใหม่นี้จึงกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า หากผู้เอาประกันเข้าเงื่อนไขต่อไปนี้ บริษัทสามารถเรียกเก็บ Co-Payment หรือให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายค่ารักษาบางส่วนได้ในปีต่อไป
1. หากเคลมโรคเล็กน้อย (Simple Diseases) เช่น ท้องเสีย ไข้หวัด ไข้ไม่สูง
– เคลมเกิน 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และมูลค่าการเคลมรวมเกิน 200% ของเบี้ยประกัน ผู้เอาประกันต้องจ่าย Co-Payment 30% ในปีถัดไป
2. หากเคลมโรคทั่วไป (ยกเว้นผ่าตัดใหญ่หรือโรคร้ายแรง) เช่น โรคภูมิแพ้ โรคข้อเสื่อม โรคความดันโลหิตสูง
– เคลมเกิน 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และมูลค่าการเคลมรวมเกิน 400% ของเบี้ยประกัน ผู้เอาประกันต้องจ่าย Co-Payment 30% ในปีถัดไป
3. หากเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ ผู้เอาประกันต้องจ่าย Co-Payment 50% ในปีกรมธรรม์ถัดไป
Co-Payment ใครเป็นผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก (บางส่วน) คือผู้ที่มีการเคลมบ่อยหรือรักษาโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เคยเคลมเกิน 3 ครั้ง หรือเคลมเกิน 200–400% ของเบี้ยประกันต่อปี นั่นจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่เปิดช่องให้บริษัทปรับเบี้ย หรือไม่ต่อสัญญาในปีถัดไป
บริษัทประกันมีสิทธิบิดเบือนหรือยกเลิกเงื่อนไขหรือไม่ ?
กรณีที่บริษัทประกันภัยจะเพิ่มเบี้ยประกัน หรือยกเลิกเงื่อนไขบางอย่าง เช่น การร่วมจ่าย (Co-payment) หรือยกเลิกความคุ้มครองบางส่วนนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละฉบับ และนโยบายของบริษัทประกันภัยนั้น ๆ
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทประกันอาจพิจารณาปรับเพิ่มเบี้ยประกัน หรือยกเลิกเงื่อนไขบางอย่างได้ หากมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่สูง หรือมีจำนวนครั้งที่มากผิดปกติ หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้เอาประกันภัย ทั้งนี้ บริษัทประกันจะต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันภัยทราบล่วงหน้าก่อน
ในมุมผู้บริโภค ทำอย่างไรถึงจะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ?
แม้ว่า Co-Payment จะเป็นนโยบายที่หลายบริษัทเริ่มนำมาใช้ แต่ผู้เอาประกันยังมีสิทธิเลือก และสามารถวางแผนรับมือได้ ดังนี้
– ตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์ โดยเฉพาะรายละเอียดการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเบี้ย
– เปรียบเทียบแผนประกัน ที่มีการรับประกันต่อเนื่องโดยไม่มีเงื่อนไข Co-Payment หรือมีอายุสัญญาถึง 85–99 ปี
– วางแผนการใช้สิทธิ์อย่างมีสติ เคลมเฉพาะเมื่อจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงเข้าเงื่อนไข Co-Payment
– เตรียมเงินสำรองไว้เสมอ หากต้องเผชิญ Co-Payment หรือเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
– ร้องเรียนต่อ คปภ. หากพบว่าบริษัทประกันมีการใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม
กรมธรรม์ที่ถือว่า “ทำก่อนมี Co‑Payment” คือสัญญาที่เริ่มคุ้มครองก่อนวันที่เท่าไร ?
ประกันสุขภาพทุกฉบับที่มีวันเริ่มคุ้มครองก่อน 20 มี.ค. 2568 จะไม่ถูกใส่เงื่อนไข Co‑Payment ใหม่ในการต่ออายุ
ส่วนกรมธรรม์หรือการต่ออายุที่เริ่มมีผลตั้งแต่ 20 มี.ค. 2568 เป็นต้นไปเท่านั้น จึงจะมีเงื่อนไขร่วมจ่ายตามที่ คปภ. กำหนด
กลุ่มโรค | เงื่อนไข | อัตรา Co‑Payment ปีถัดไป |
---|---|---|
Simple Diseases (เช่น ท้องเสีย ไข้หวัด) | เคลม ≥3 ครั้ง/ปี และยอดรวม >200% เบี้ย | 30% |
โรคทั่วไป (ไม่รวมผ่าตัดใหญ่/โรคร้ายแรง) | เคลม ≥3 ครั้ง/ปี และยอดรวม >400% เบี้ย | 30% |
เข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ | — | 50% |
Co‑Payment คือการให้ ผู้เอาประกันร่วมจ่ายค่ารักษาบางส่วน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายรวม (moral hazard) โดยเฉพาะผู้ที่เคลมบ่อยในโรคไม่ร้ายแรง
ลูกค้าเคลมไข้หวัด 4 ครั้ง ยอดค่ารักษา 250% ของเบี้ย → ต้องจ่ายร่วม 30% ในปีหน้า
หากเข้าเงื่อนไขทั้งสอง ก็คือร่วมจ่ายสูงสุดถึง 50%
บทสรุป
ระบบ Co‑Payment ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน ไม่ให้ต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเมื่อผู้เอาประกันเคลมบ่อยจนเกินจำเป็น (moral hazard) อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้ผู้เอาประกันใช้สิทธิ์เคลมอย่างมีสติมากขึ้น ช่วยควบคุมค่าเบี้ยประกันไม่ให้พุ่งสูงจนกระทบต่อผู้เอาประกันทุกคน และรักษาเสถียรภาพทางการเงินของกองทุนประกันสุขภาพโดยรวม