- 16 ตุลาคม 2025
- ประกันชีวิต, ประกันบำนาญ, ประกันสะสมทรัพย์, ประกันสุขภาพ
- 67 Views
ฉลาดจ่ายภาษีแบบคนมีแผน
ทุกสิ้นปี…คนทำงานและเจ้าของกิจการต่างเริ่มหาวิธี “วางแผนภาษี” เพื่อไม่ให้เสียภาษีเกินความจำเป็น ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ “การซื้อประกันลดหย่อนภาษี” เพราะนอกจากช่วยประหยัดภาษีได้จริงแล้ว ยังได้ความคุ้มครองและผลตอบแทนกลับคืนมาอีกด้วย
การวางแผนภาษีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ตัวเลข” แต่คือ “กลยุทธ์ทางการเงิน” ที่คนฉลาดเลือกใช้ เพื่อให้เงินทุกบาททำงานได้คุ้มค่าที่สุดค่ะ
Add Your Heading Text Here
สารบัญ
อย่าปล่อยให้ภาษีกลายเป็นภาระที่จ่ายไปเปล่า ๆ เพียงแค่วางแผนให้ดี
ถ้าไม่รู้จักวางแผนภาษี จะเกิดอะไร
รู้ไหมคะว่า…ทุกปีเราทำงานเหนื่อยแทบแย่ แต่สุดท้ายกลับต้อง “เสียภาษีมากเกินจำเป็น” เพราะไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า หลายคนรู้ตัวอีกทีตอนต้องยื่นภาษี ก็สายไปแล้ว —
จ่ายภาษีเต็ม ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วสามารถ “ประหยัดได้เป็นหมื่น หรือบางคนเป็นแสนบาท” แค่รู้จักวางแผนเท่านั้น!
การไม่วางแผนภาษี = เสียโอกาสหลายต่อเลยค่ะ
- ❌ เสียเงินจ่ายภาษีมากกว่าที่ควร
- ❌ พลาดสิทธิลดหย่อนจากประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ
- ❌ ไม่มีหลักประกันรองรับความเสี่ยงในชีวิต
- ❌ พลาดการออมระยะยาวที่ได้ทั้งดอกผลและความคุ้มครอง
ในทางกลับกัน ถ้าเราเริ่ม “วางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้” เงินที่ต้องจ่ายภาษีอยู่แล้ว…ก็สามารถเปลี่ยนเป็น “เงินออมที่สร้างความมั่นคง” และยังได้ “คุ้มครองชีวิต-สุขภาพ” ไปพร้อมกันอีกด้วยค่ะ
เริ่มต้นวางแผนภาษีง่าย ๆ ด้วย 3 ขั้นตอน
ดูรายได้สุทธิประจำปีเพื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ฐานภาษีไหน (5%, 10%, 20%, 30%)
เพราะฐานภาษีจะบอกเลยว่า “ซื้อประกันเท่าไรถึงจะคุ้มที่สุด”
ตัวอย่างเช่น
- ฐานภาษี 10% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 10,000 บาท
- ฐานภาษี 20% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 20,000 บาท
1.เช็กฐานภาษีของตัวเองก่อน
ดูรายได้สุทธิประจำปีเพื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ฐานภาษีไหน (5%, 10%, 20%, 30%)
เพราะฐานภาษีจะบอกเลยว่า “ซื้อประกันเท่าไรถึงจะคุ้มที่สุด”
ตัวอย่างเช่น
- ฐานภาษี 10% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 10,000 บาท
- ฐานภาษี 20% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 20,000 บาท

ตารางภาษีแบบขั้นบันได สามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง ด้วยการใช้ข้อมูลของเงินเดือน และฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งวิธีคำนวณภาษีจะทำได้ ดังนี้
ตัวอย่างสำหรับผู้ที่มีเงินเดือน 50,000 บาท
- รายได้รวมประจำปี:50,000 × 12 = 600,000 บาท
- หักค่าใช้จ่าย:50% ของ 600,000 = 300,000 บาท (แต่ใช้ได้สูงสุดเพียง 100,000 บาท)
- หักลดหย่อนส่วนตัว:60,000 บาท
- คำนวณรายได้สุทธิ:600,000 – 100,000 – 60,000 = 440,000 บาท
- คำนวณภาษี:
- รายได้ 150,000 แรก: 0 บาท
- ส่วนที่เกิน 150,000: 440,000 – 150,000 = 290,000 บาท
- 150,000 บาทแรกในส่วนนี้คิด 5% = 150,000 × 0.05 = 7,500 บาท
- ส่วนที่เหลือ 290,000 – 150,000 = 140,000 บาท คิด 10% = 140,000 × 0.10 = 14,000 บาท
- ภาษีที่ต้องจ่าย: 7,500 + 14,000 = 21,500 บาท
อย่าปล่อยให้ภาษีกลายเป็นภาระที่จ่ายไปเปล่า ๆ เพียงแค่วางแผนให้ดี และเลือกแบบประกันที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะได้ทั้ง ความคุ้มครอง + เงินออม + สิทธิลดหย่อนภาษี ครบในหนึ่งเดียว
2.ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้ครบทุกช่อง
ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, ประกันบำนาญ, SSF หรือ RMF
การกระจายการลงทุนหลายทางจะช่วยให้ได้สิทธิ์เต็มตามเพดานที่กฎหมายกำหนด
รวม ค่าลดหย่อนภาษีขั้นบันได 2568
ก่อนที่จะยื่นภาษีในปีนี้ เราขอแนะนำให้คุณลองดูรายละเอียดเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี 2568 ซึ่งจะมีส่วนที่น่าสนใจ ดังนี้
- ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล:60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส:60,000 บาทสำหรับสามีหรือภรรยา
- ค่าลดหย่อนบุตร:30,000 ถึง 60,000 บาทต่อบุตร 1 คน
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา:30,000 บาทต่อคน
- ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ:60,000 บาทต่อคน
- ค่าฝากครรภ์และทำคลอด:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 60,000 บาทต่อครรภ์
- เบี้ยประกันชีวิตทั่วไปและเงินฝากแบบมีประกันชีวิต:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 25,000 บาท และรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปไม่เกิน 100,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และ กบข.:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15% ของเงินเดือน ส่วน กบข. สูงสุด 30% ของเงินเดือนและรวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
- ค่ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF):ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
- เงินประกันสังคม:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 9,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.):ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
- ดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัย:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท
- เงินบริจาคพรรคการเมือง:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 10,000 บาท
- เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่ากองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG):ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 300,000 บาท
- ค่าสร้างบ้านใหม่:10,000 บาทต่อค่าการก่อสร้างทุก 1,000,000 บาท และรวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0:ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 50,000 บาท
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ:2 เท่าของเงินบริจาคที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคทั่วไป: ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่ารถหย่อน
ประกันแบบไหนลดหย่อนภาษีได้บ้าง
1. ประกันชีวิตทั่วไป
- ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
- ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปี
✅ เหมาะกับคนที่อยากออมเงินระยะยาว ได้เงินคืน และมีความคุ้มครองชีวิต
2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ
- ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท
- รวมกับ RMF แล้วไม่เกิน 500,000 บาท
✅ เหมาะสำหรับคนที่วางแผนเกษียณ อยากมีรายได้แน่นอนหลังวัยทำงาน
3. ประกันสุขภาพของตนเอง
- ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท
- รวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
✅ เหมาะกับคนวัยทำงานที่ต้องการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
4. ประกันสุขภาพพ่อแม่
ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อคน
✅ ได้ทั้งดูแลครอบครัวและใช้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่ม
ซื้อเท่าไรดี ถึงจะคุ้มกับภาษี
ซื้อเท่าที่เหมาะกับฐานภาษีและกำลังจ่าย ไม่ควรซื้อเกินความสามารถค่ะ
แนวทางเบื้องต้นคือ
ฐานภาษี | เบี้ยประกันชีวิตที่เหมาะสม | ประหยัดภาษีได้โดยประมาณ |
---|---|---|
10% | 30,000–50,000 บาท | 3,000–5,000 บาท |
20% | 70,000–100,000 บาท | 14,000–20,000 บาท |
30% | 200,000–300,000 บาท | 60,000–90,000 บาท |
นอกจากการประหยัดภาษีแล้ว การซื้อประกันยังเป็น “การลงทุนเพื่อความอุ่นใจในอนาคต”
เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด เงินประกันจะเป็นหลักประกันสำคัญให้คนในครอบครัวค่ะ
อ้างอิง : ศึกษาข้อมูล การลดหย่อน ตรวจสอบการยื่นเสียภาษีได้ที่เว็บกรมสรรพากร https://www.rd.go.th/272.html
บทสรุป
อย่าปล่อยให้ภาษีกลายเป็นภาระที่จ่ายไปเปล่า ๆ เพียงแค่วางแผนให้ดี และเลือกประกันที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะได้ทั้ง ความคุ้มครอง + เงินออม + สิทธิลดหย่อนภาษี ครบในหนึ่งเดียว
ถ้าพี่นิดหรือใครกำลังมองหาประกันลดหย่อนภาษี มาที่นี่เลย Srikrung Network เพราะเรามีแผนประกันให้เลือกจาก กว่า 16 บริษัทชั้นนำของไทย เลือกได้ตามงบและเป้าหมายภาษีของคุณ จะเน้นคุ้มครอง หรือเน้นออม หน่อยกับทีมช่วยวางแผนให้ได้เลยค่ะ
รู้ไหมคะว่า…ทุกปีเราทำงานเหนื่อยแทบแย่ แต่สุดท้ายกลับต้อง “เสียภาษีมากเกินจำเป็น” เพราะไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า หลายคนรู้ตัวอีกทีตอนต้องยื่นภาษี ก็สายไปแล้ว —จ่ายภาษีเต็ม ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วสามารถ “ประหยัดได้เป็นหมื่น หรือบางคนเป็นแสนบาท” แค่รู้จักวางแผนเท่านั้น!
การไม่วางแผนภาษี = เสียโอกาสหลายต่อเลยค่ะ
เช็กฐานภาษีของตัวเองก่อน
ดูรายได้สุทธิประจำปีเพื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ฐานภาษีไหน (5%, 10%, 20%, 30%)
เพราะฐานภาษีจะบอกเลยว่า “ซื้อประกันเท่าไรถึงจะคุ้มที่สุด”
ตัวอย่างเช่นฐานภาษี 10% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 10,000 บาท
ฐานภาษี 20% → ซื้อประกันลดหย่อน 100,000 บาท ประหยัดได้ 20,000 บาท
ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้ครบทุกช่อง
ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, ประกันบำนาญ, SSF หรือ RMF
การกระจายการลงทุนหลายทางจะช่วยให้ได้สิทธิ์เต็มตามเพดานที่กฎหมายกำหนดวางแผนล่วงหน้า อย่ารอปลายปี
เพราะการซื้อประกันบางแบบต้องผ่านขั้นตอนอนุมัติหรือการตรวจสุขภาพ
หากรอจนใกล้สิ้นปี อาจไม่ทันใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ในปีนั้นค่ะ
1. ประกันชีวิตทั่วไป
ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปี
✅ เหมาะกับคนที่อยากออมเงินระยะยาว ได้เงินคืน และมีความคุ้มครองชีวิต
2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ
ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท
รวมกับ RMF แล้วไม่เกิน 500,000 บาท
✅ เหมาะสำหรับคนที่วางแผนเกษียณ อยากมีรายได้แน่นอนหลังวัยทำงาน
3. ประกันสุขภาพของตนเอง
ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท
รวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
✅ เหมาะกับคนวัยทำงานที่ต้องการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
4. ประกันสุขภาพพ่อแม่
ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อคน
✅ ได้ทั้งดูแลครอบครัวและใช้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่ม